Monday, August 25, 2014

เรื่องกล้วยๆ ที่ควรรู้

เรื่องกล้วยหอม
อย่าใส่กล้วยหอมไว้ในตู้เย็นนะครับ
หลังจากอ่านบทความนี้จบ....ท่านจะมองกล้วยหอมในอีกแง่มุมหนึ่งทันที
กล้วยหอมมีสารน้ำตาลอยู่ 3 ชนิดคือ ซุคโคส ฟรุคโตสและกลูโคส
(sucrose, fructose and glucose) รวมทั้งเส้นใยอาหาร
มันจะให้พลังงานแก่ร่างกายพร้อมนำไปใช้ทันทีเลยครับ
เขาวิจัยมาแล้วว่ากล้วยหอม 2 ใบให้พลังงานเพียงพอให้เราทำงานถึง 90 นาที
ไม่ต้องสงสัยเลยนะครับ ..นักกีฬาระดับโลกถึงชอบกินกล้วยหอมกันนัก
(เคยเห็นในสนามเทนนิส...พอพักเบรคบางคนหยิบกล้วยหอม มากัดกินสัก 2-3 คำ)
ยังไม่หมดนะ....เจ้ากล้วยยังมีคุณอนันต์
ป้องกันโรคภัยและภาวะต่าง ๆของร่างกายได้อีกด้วย...มาดูกันครับ
ความเศร้าซึม
จากการสำรวจและวิจัยไต่ถามพร้อมสุ่มตัวอย่างจากคนไข้ ที่ป่วยเป็นโรคเศร้าซีม
พบว่าส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้กินกล้วยหอม
เพราะว่ามัน tryptophan ซึ่งเป็นกรดอะมิโนโปรตีนชนิดหนึ่ง
ซึ่งร่างกายสามารถแปลงเป็น serotonin
สารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์สดใสและมีความสุขมากยิ่งขึ้น
pms (premenstrual syndrome)
สำหรับสุภาพสตรีแล้วก่อนที่จะมีประจำเดือน อารมณ์จะหงุดหงิดง่าย
ไม่อยู่กับร่องรอยและก่อให้เกิดสภาวะต่อร่างกาย..เช่ นปวดท้อง ปวดหัว...ฯลฯ
รีบกินกล้วยหอมซะดี ๆ.....ยาแก้ปวดลืมไปได้เลย...
มันสามารถป้องกันได้นะจ๊ะ........
โรคโลหิตจาง (Anemia)
ธาตุเหล็กในกล้วยหอมสามารถที่จะกระตุ้นร่างกายให้ผลิ ต Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน)
ในกระแสโลหิตช่วยหยุดยั้งภาวะโลหิตจางได้
แต่คงไม่ช่วยแก้โรคทรัพย์จางได้หรอกนะ....ฮ่า...
(โรคนี้ผมเป็นบ่อย ๆ.....หุ...หุ....)
ความดันโลหิต (Blood Pressure)
กล้วยหอมมีเกลือโปแตสเซียมเหลืองอยู่เยอะ
เป็นตัวช่วยความดันเลือดจนกระทั่ง US Food and Drug Administration
อนุมัติให้กล้วยหอมยอดผลไม้มีส่วนช่วยลดภาวะความเสี่ ยงความดันได้จริง
เสริมสร้างพลังสมอง (Brain Power)
ที่อังกฤษในแค้วน Middlesex มีนักเรียนจำนวน 200 คนจาก Twickenham school
อ้างว่าพวกเขาสอบผ่านเพราะได้กิตกล้วยหอมเป็นอาหารเช้า
รวมทั้งกินอีกนิดหน่อยในตอนมื้อเที่ยงเพื่อทำให้สมอง สดชื่น
เขาได้วิจัยพบว่าโปแตสเซียมในกล้วยช่วยนักเรียนให้ตื่นตัวอยู่เสมอ
อาการท้องผูก (Constipation)
เส้นใยอาหารในกล้วยหอมช่วยทำให้ระบบขับถ่ายในร่างกาย ทำงานได้ดี
เมาค้าง (Hangovers)
วิธีแก้เมาค้างที่เร็วและดีอีกวิธีหนึ่งก็คือกินกล้ว ยหอมปั่น banana milkshake
โดยการใส่น้ำผึ้งลงไปด้วย
(ฮ่า.....ผมเพิ่งรู้นะเนี่ย......ต้องลองแน่ ๆ...)
ด้วยสรรพคุณของน้ำผึ้งและสารวิตามินในกล้วยจะช่วยให้ ปรับระดับน้ำตาลในเส้นเลือด
และทำให้กระเพาะอาหารอยู่ในสภาวะที่พร้อมทำงานได้เร็ วขึ้น......
จุกเสียดแน่นท้อง (Heartburn)
กล้วยหอมมีสารลดกรดตามธรรมชาติอยู่
ดังนั้นการกินกล้วยก็จะช่วยให้ลดอาการดังกล่าว
Morning Sickness
ไม่รู้ว่าจะแปลว่าอะไรดีนะ...อาการงี่เง่าตอนเช้าเช่ นไม่อยากจะตื่นบ้าง...ฯลฯ
ถ้าเรากินกล้วยหอมสักคำ 2 คำระหว่างมื้อเช้า เที่ยงหรือเย็น
มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและแก้อาการดังกล่าว ในตอนเช้าได้
บรรเทาแผลยุงกัด
ก่อนที่จะใช้ยาทา
ลองใช้เปลือกกล้วยหอมด้านในถูบริเวณที่ถูกยุงกัด
จะช่วยลดอาการคันหรือบวมได้.....คนส่วนใหญ่เป็นอย่าง นั้นจริง ๆ
ระบบประสาท (Nerves)
วิตามินบีที่มีอยู่มากในกล้วยหอมจะช่วยลดความเครียด. ...อ่อนล้าได้
อ้วนจากทำงานมากเกินไป
ที่สถาบันจิตวิทยาในออสเตรียได้ศึกษาและพบว่า
ความเครียดจากที่ทำงานทำให้คนกินช็อกโกแล็ตและพวกโปเตโต้ชิปส์มากเกินไป
ทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น
จากที่กล่าวมาแล้วถ้ากินกล้วยหอมสักเล็ก ๆน้อย ๆประมาณทุก ๆ 2 ชม.
มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและลดการอยากกินของจุกจิก
แผลในลำไส้และกระเพาะอาหารรวมทั้งผิวหนังพุพองเป็นแผ ล (Ulcers)
สารและเส้นใยในกล้วยหอมช่วยให้การย่อยอาหารของลำไส้เ ล็กดีขึ้น
รวมทั้งกรดต่าง ๆที่มีอยู่ทำให้มีการเคลือบผิวของกระเพาะ
ลดการเป็นแผลในกระเพาะได้
ปรับระดับอุณหภูมิในร่างกาย (Temperature Control)
ในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรที่มีอากาศร้อน
ผู้คนชอบกินกล้วยหอมดับร้อนกันครับและเชื่อว่ามันเป็ นผลไม้เย็นฉ่ำชนิดหนึ่ง
อย่างเช่นในไทยมีความเชื่อกันว่าผู้หญิงท้องควรกินกล้วยหอมเป็นประจำ
เพื่อเด็กที่เกิดมาจะมีอารมณ์เยือกเย็นเช่นดังป๋าคูล เป็นต้น...... so cool....
ลดความอยากสูบบุหรี่
สำหรับท่านที่ต้องการเลิกบุหรี่
กล้วยหอมอาจช่วยท่านได้เพราะมีวิตามิน B6, B12 โปแตสเซียมและแม็กนีเซียม
ที่มีอยู่มากจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วจากการขาดสา รนิโคติน

Saturday, August 23, 2014

ประโยชน์ของ เม็ดบัว

ประโยชน์ของเม็ดบัว

หลายท่านจะยังไม่เคยทาน”เม็ดบัว”และอาจคาดไม่ถึง ว่าเจ้าเม็ดบัวน้อยๆ นี้จะมีสรรพคุณทางยาสามารถช่วยบำรุงโลหิต แต่เชื่อเถอะ เป็นเช่นนั้นจริงๆ หลายท่านที่มักมีอาการวิงเวียนหน้ามืด หรือมีอาการแน่นหน้าอก เพราะปัญหาเลือดน้อย ขอแนะนำสมุนไพรพื้นบ้าน ที่ทานง่าย ราคาไม่แพง ที่สำคัญมีอยู่ในบ้านเรา อย่างเช่นเม็ดบัว มีสรรพคุณทางการบำรุงเลือดที่ดี
สรรพคุณของเม็ดบัวนั้น อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี มีโปรตีนเป็นส่วนประกอบอยู่ถึงประมาณ 23 เปอร์เซนต์ และมีเกลือแร่ ฟอสฟอรัส นอกจากนี้ตัวเม็ดบัวยังมีสรรพคุณ บำรุงสมอง บำรุงประสาท บำรุงไต ช่วยรักษาอาการท้องร่วง และบิดเรื้อรัง และสรรพคุณพื้นบ้านที่ใช้กันเป็นยาบำรุงเลือด หรือเพิ่มเลือด
“การทานเม็ดบัว เพื่อการบำรุงเลือด มีข้อแม้ว่าต้องเป็นการทานเม็ดบัวสดเท่านั้น” เม็ดบัวที่ผ่านการแปรรูปมาแล้ว หรือการนำมาต้มให้สุกจะใช้ไม่ได้ เม็ดบัวเชื่อมที่ใส่ไอศกรีมก็ใช้ไม่ได้โดยหาซื้อฝักบัวสดที่มีขายเป็นกำๆ ตามตลาด ซึ่งหนึ่งฝักจะมีเม็ดบัวอยู่ในฝัก7-10 เม็ด แล้วแต่ความอ้วนของฝัก ดังนั้นเวลาทานต้องแกะออกจากฝัก แล้วนำมาแกะเปลือกออกจากเม็ด เพื่อจะทานเม็ดบัวสีขาวอมเหลืองที่อยู่ในเปลือก เมื่อได้เม็ดบัวที่แกะเปลือกออกแล้ว ให้ทานเข้าไปทั้งเม็ด โดยไม่เอาต้นอ่อนภายในเม็ด หรือที่เราเห็นเป็นเส้นเขียวๆ อยู่กลางเม็ดออก พูดง่ายๆ คือทานเข้าไปหมด รสชาติก็จะมีขมฝาดเล็กน้อย ใหม่ๆ อาจจะไม่คุ้นลิ้น แต่เมื่อทานไปสักระยะก็จะเฉยๆที่สำคัญต้นอ่อนในเม็ดบัว หรือดีบัวที่หลายคนชอบหยิบออกนั้น คือต้นอ่อนสีเขียวขมๆ สรรพคุณทางยาของจีน กล่าวว่าหากทานเข้าไปแล้วก็จะช่วยบำรุงถุงน้ำดี ช่วยเพิ่มแรงบีบตัวของหัวใจ และบำรุงหลอดเลือดหัวใจอีกด้วยข้อสำคัญ พยายามเลือกฝักที่แก่ จะได้เม็ดบัวที่โตเต็มที่ ทานวันละไม่น้อยกว่า 20 เม็ด จะทานมากกว่าก็ไม่ห้าม เพราะเม็ดบัวปกติเป็นของทานเล่นพื้นบ้านเราอยู่แล้ว ทีนี้คุณก็ได้อาหารบำรุงเลือด บำรุงหัวใจ
เม็ดบัวไทย-จีน ความเหมือนที่แตกต่าง
การเลือกกิน เม็ดบัวส่วนใหญ่ที่เราเห็นทั่วไป จะเป็นสินค้าที่นำเข้าจากประเทศจีนซึ่งจะมีเมล็ดขนาดใหญ่ ผ่านการกะเทาะเปลือก ดึงดีบัว(ต้นอ่อนที่ฝังอยู่กลางเมล็ดมีสีเขียวเข้ม)ออก และอบแห้งแล้ว
ส่วนเม็ดบัวไทยนั้นไม่ค่อยพบวางจำหน่ายในท้องตลาด เนื่องจากมีเมล็ดเล็ก จึงไม่เป็นที่นิยม แต่จากผลการวิจัยของ อาจารย์ปริญดา ที่ศึกษาเปรียบเทียบปริมาณสารแอนติออกซิแดนต์ในเม็ดบัวไทยและจีนพบว่า เม็ดบัวไทยมีปริมาณสารแอนติออกซิแดนต์สูงกว่าเม็ดบัวจีน 5-6 เท่า
อาจารย์ปริญดาจึงแนะนำว่า ถ้าต้องการให้ร่างกายได้รับสารแอนติออกซิแดนต์ปริมาณสูงควรเลือกกินเม็ดบัวไทยดีกว่า โดยเฉพาะเม็ดบัวไทยสด
วิธีกินคือ ลอกเปลือกออกจากเมล็ด โดยไม่ดึงเยื่อหุ้มเมล็ดและดีบัวออก กินสดๆทั้งเมล็ด จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านมะเร็งซึ่งอยู่บริเวณเยื่อหุ้มเมล็ด และดีบัวในปริมาณสูง
ส่วนชนิดอบแห้งนั้น เรานำมาทำอาหารคาวหวานได้หลากหลาย ที่คุ้นเคยกันดี คือ น้ำอาร์ซี เม็ดบัวต้มน้ำตาลทรายแดง ผสมในเต้าฮวย หรือเต้าทึง ข้าวอบใบบัว เป็นต้น
ส่วนเคล็ดลับการเลือกซื้อให้ได้ของสดใหม่ คุณภาพดีมีดังนี้ค่ะ
ชนิดอบแห้ง
1. ควรเลือกเมล็ดที่มีสีเหลืองนวล ถ้ามีสีเหลืองเข้ม แสดงว่าเป็นเม็ดบัวเก่าที่เก็บไว้นานแล้ว เมล็ดไม่แตกหัก และไม่มีฝุ่นละอองปนเปื้อน
2. ขั้วเมล็ดไม่ดำคล้ำ เพราะจะเป็นเมล็ดที่เก็บไว้นานแล้ว
3. ไม่มีกลิ่นสาบหรือเหม็นหื่น
ชนิดฝักสดเลือกฝักที่มีเมล็ดขนาดใหญ่ สีเขียวอ่อน จะได้เม็ดบัวที่มีเนื้อกรอบ หวานกำลังดี คราวนี้ถ้าเจอฝักบัวสดในตลาดอย่าลืมซื้อติดไม้ติดมือมาคนละสองสามกำนะคะ

กินอย่างไร ได้อย่างนั้น

(FYI) สรุปบทสัมภาษณ์
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา 
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง รพ.จุฬาฯ สภากาชาดไทย 
ในรายการ พราวไนท์ ช่อง 9
ทำตัวอย่างไร เราก็จะได้อย่างนั้น
กินอะไรเข้าไป ก็จะได้อย่างนั้น

คุณหมอแนะนำ ดังนี้
* ต้องไม่เครียด(lovely)(Happy)

* กากใยจากผัก(salad) ผลไม้(banana)คือ กากช่วยชีวิต ยิ่งทานเยอะ ยิ่งช่วยชีวิต ช่วยเปลี่ยนหน้าตาแบคทีเรีย หรือ จุลินทรีย์ในลำไส้ให้เป็นชนิดดี

* น้ำส้มคั้นที่เอาแต่น้ำมากิน(juice) และทิ้งกากไป ดื่มไม่มีประโยชน์ เพราะกากนั้น คือ กากช่วยชีวิต

* ตื่นเช้าขึ้นมาให้กินน้ำผักผลไม้ปั่น(bubble tea)โดยไม่ต้องแยกกาก ให้กินทั้งกาก

* ทุเรียนหรือข้าวเหนียวมะม่วง ทานได้ แต่ให้ทานเพียงแค่พอชื่นใจ ไม่ใช่ทานเป็นของหวาน และเมื่อทานทุเรียนหรือข้าวเหนียวมะม่วงมื้อใด ให้งดอาหารหลัก(rice)งดข้าวในมื้อนั้นไปเลย

* ควรดื่มกาแฟ(coffee)เป็นประจำ กาแฟมีคาเฟอีนช่วยชีวิตได้ตั้งแต่หัว จรดเท้า โดยเฉพาะช่วยเรื่องอัลไซเมอร์ โดยต้องเป็นกาแฟดำเท่านั้น และให้กินได้เยอะเท่าที่เราต้องการจะกิน (ยกเว้นคนท้อง ห้ามกินนับตั้งแต่วันที่ไข่ปฏิสนธิกับอสุจิเลย)

* ควรงดทานอาหารหวาน(pudding)(icecream cone) และมัน(fried chicken)(bacon)(potato fries)ทุกประเภท เพราะนอกจากจะเร่งให้เกิดโรคต่างๆ แล้วยังทำให้การขับของเสียจากสมองทำได้ยากขึ้น

* ข่าวดี การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบริโภคให้ถูกต้อง แม้เริ่มเมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไป ก็ยังสามารถชะลอโรคอัลไซเมอร์(light bulb)ได้สูงถึง 80-90%

* ผลวิจัยปัจจุบันพบว่า ข้อมูลที่บอกว่ากาแฟ(coffee)ทำให้กระดูกพรุนไม่เป็นความจริง

* คนที่หมดประจำเดือนแล้วกินวิตามินดี(medicine) และแคลเซี่ยมไม่ได้ช่วยป้องกันกระดูกพรุน กระดูกยุบ กระดูกหัก เพราะไม่สามารถเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกให้เพิ่มขึ้นได้ (ที่เขาให้กินเพื่อผลทางการค้า)

* ชอกโกแลต(chocolate) คือสุดยอดอาหารช่วยสมอง ...ขนาดชอกโกแลต ที่มีรสหวานมัน ยังช่วยป้องกันอัมมพฤกษ์ได้ถึง 18 % แต่ถ้าต้องการให้ชะลออัลไซเมอร์และป้องกันอัมมพฤกษ์ได้ ต้องกินแบบไม่หวานมัน (Dark Chocolate) คำว่า Dark Chocolate แปลว่า ต้องมีโกโก้ผสมอยู่มากกว่า 70 % โดยทานทุกวันเป็นประจำ วันละ 1 บาร์ หรือ 1 ช่อง (ยกเว้นชอกโกแลตสีขาว / สีน้ำตาลที่เละๆ เป็นของไม่ดี )

* แนะนำให้ทานถั่วเปลือกแข็งทุกชนิด (ยกเว้นถั่วลิสงอาจจะไม่ช่วยสักเท่าไร) อาทิเช่น อัลมอนท์ เชสนัท วอลนัท(chestnut) มะม่วงหิมพานต์ ฯลฯ ที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งรสใดๆ ไม่ใส่เนย น้ำมัน เลย ให้ทานเป็นประจำช่วยชีวิตได้ กินได้ไม่อั้น ไม่จำกัดปริมาณ

* พริกหวาน + พริกขี้หนู ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคพาร์คินสัน(rage) ทานเป็นประจำสัปดาห์ละ 2-4 มื้อ (รายงานนี้ออกมาเมื่อปีที่แล้วนี่เอง)

* ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณปานกลางที่พอเหมาะเป็นประจำสม่ำเสมอ คือ ดื่ม 1 โก (GO) หน่วยแอลกอฮอล์ = มีเอทานอล 22 กรัม หรือเท่ากับปริมาณเบียร์ 500 มิลลิลิตร เช่น ปริมาณแอลกอฮอล์ที่เหมาะสมกับการดื่มใน 1 วัน อาทิ เบียร์ ผู้ชายไม่ควรดื่มเกินวันละ 2 แก้ว และผู้หญิงไม่ควรดื่มเกินวันละ 1 แก้ว
ปริมาณมาตรฐาน (beer)
1 แก้วเบียร์ = 1 GO = 500 มิลลิลิตร
ทั้งนี้ปริมาณแอลกอฮอล์ในเครื่องดื่มแต่ละชนิดมีสัดส่วนไม่เท่ากัน ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อทราบสัดส่วนที่ถูกต้อง เพราะการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินไปตายเร็วแน่นอน “ดื่มเหล้าในปริมาณที่พอเหมาะ จะช่วยเส้นเลือด ช่วยหัวใจ ช่วยอัลไซเมอร์ เพราะสารพิษในสมองเวลามันเลาะออกจากสมองแล้วมันจะลงมายังเส้นเลือด ถ้าเส้นเลือดเราแข็งมันทิ้งขยะไม่ได้ ดังนั้นถ้าเราช่วยเส้นเลือดได้ เราก็เท่ากับช่วยทางอ้อมที่กำจัดพิษจากสมอง”

* แอลกอฮอล์(whisky)ไม่ช่วยเรื่องเกี่ยวกับความดันโลหิตต่ำ เพราะยังไม่หลักฐานพอจะอ้างได้ อย่างไรก็ดี คนท้องก็ดี แอลกอฮอล์ก็ไม่ดีสำหรับคนท้อง

* เกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้า(dog sad) คนที่ถูกสุนัขกัด (โดยที่ยังไม่รู้ว่าสุนัขเป็นโรคพิษสุนัขบ้าหรือไม่) ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนรอบสะดือ 14 เข็ม อีกต่อไปแล้ว คุณหมอบอกว่า จากผลงานศึกษาของทั่วโลก พบว่า นอกจากจะไม่ช่วยคนไข้แล้ว ยังอาจจะช่วยไห้คนไข้ตายเร็วขึ้นเพราะแพ้เซรุ่มพิษสุนัขบ้าอีกด้วย

โภชนาบำบัด

อร่อยดี มีประโยชน์
โภชนาบำบัด^^'
1.ดื่มน้ำร้อนปลอดทุกโรค
2.กินไข่วันละฟอง ไม่ต้องไปหาหมอ
3.หยุดกินน้ำตาลทราย เพราะเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคต่างๆ
4.กินทุเรียน ช่วยรักษาโรคมะเร็ง และแก่ช้า
5.กินแตงโม ช่วยแก้เลือดอุดตัน ลิ่มเลือด และช่วยบำรุงเลือด ถ้าเป็นผู้ชาย จะทำให้สมถรรพภาพทางเพศแข็งแรง
6.สตรีกินสับปะรด ช่วยกระช้บช่องคลอด
7.กินกล้วยไข่ ช่วยบำรุง ตับ ไต ผิว ตา กระดูก(เหมาะสำหรับคนทำงานหน้าคอมส์)ทำให้หน้าอกโตด้วย
8.กล้วยน้ำหว้านำไปเผาทั้งเปลือก ช่วยรักษา ปวดหัว ตัวร้อน และเบาหวาน
9.กล้วยหอม เด็กถ้ากินช่วยให้ความจำดี และสตรีวัยทองช่วยปรับฮอร์โมนให้กินกับน้ำมพร้าวอ่อน จะดีมาก ช่วยรักษาโรคฮันจิสัน(สตรีถ้ากินมากจะเซ็กส์จัด)
10.น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ใช้กินและทาหน้า ร่างกาย
ทำให้ดูอ่อนกว่าวัย รักษา ฝ้า กระ ดีมาก เพราะน้ำมันมะพร้าวเป็นสารตั้งต้นของเครื่องสำอางค์ทุกชนิด
11.กินน้ำมันหมูดีที่สุด

รูปภาพ : โภชนาบำบัด^^'
1.ดื่มน้ำร้อนปลอดทุกโรค
2.กินไข่วันละฟอง ไม่ต้องไปหาหมอ
3.หยุดกินน้ำตาลทราย เพราะเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคต่างๆ
4.กินทุเรียน ช่วยรักษาโรคมะเร็ง และแก่ช้า
5.กินแตงโม ช่วยแก้เลือดอุดตัน ลิ่มเลือด และช่วยบำรุงเลือด ถ้าเป็นผู้ชาย จะทำให้สมถรรพภาพทางเพศแข็งแรง
6.สตรีกินสับปะรด ช่วยกระช้บช่องคลอด
7.กินกล้วยไข่ ช่วยบำรุง ตับ ไต ผิว ตา กระดูก(เหมาะสำหรับคนทำงานหน้าคอมส์)ทำให้หน้าอกโตด้วย
8.กล้วยน้ำหว้านำไปเผาทั้งเปลือก ช่วยรักษา ปวดหัว ตัวร้อน และเบาหวาน
9.กล้วยหอม เด็กถ้ากินช่วยให้ความจำดี และสตรีวัยทองช่วยปรับฮอร์โมนให้กินกับน้ำมพร้าวอ่อน จะดีมาก ช่วยรักษาโรคฮันจิสัน(สตรีถ้ากินมากจะเซ็กส์จัด)
10.น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ใช้กินและทาหน้า ร่างกายทำให้ดูอ่อนกว่าวัย รักษา ฝ้า กระ ดีมาก เพราะน้ำมันมะพร้าวเป็นสารตั้งต้นของเครื่องสำอางค์ทุกชนิด
11.กินน้ำมันหมูดีที่สุด

อาหารไทยช่วยลดเสี่ยงมะเร็ง ควรรู้

22 จานเด็ด อาหารไทยช่วยลดเสี่ยงมะเร็ง

ผลวิจัยล่าสุด สถาบันโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า 22 ตำรับอาหารไทยช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงมะเร็งได้

ผู้วิจัยได้สร้างแบบจำลองเลียนแบบการกินอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง อาทิ อาหารปิ้ง ย่าง รมควันและอาหารที่ต้มตุ๋นเป็นเวลานาน 

โดยนำอาหารไทยเหล่านั้นมาทำปฏิกิริยากับไนไตรท์ ในสภาวะคล้ายการย่อยอาหารของคน ได้ผลวิจัยว่า อาหารไทยที่ป้องกันมะเร็งได้ดีที่สุด ตามลำดับ ได้แก่

1. คะน้าน้ำมันหอย 
2. ไก่ทอดสมุนไพร 
3. ทอดมันปลากราย 
4. แกงเลียง 
5. ไข่เจียวใส่หอมหัวใหญ่พร้อมมะเขือเทศ 
6. กะเพรากุ้งใส่ถั่วฝักยาว 
7. แกงเผ็ดเป็ดย่าง 
8. แกงจืดตำลึง 
9. ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ 
10. ส้มตำไทย 
11. ผัดผักรวมน้ำมันหอย

ส่วนาหารไทยที่ป้องกันมะเร็งได้ดีในระดับกลางตามลำดับได้แก่
12. ฉู่ฉี่ปลาทับทิม 
13. น้ำพริกลงเรือ 
14. ห่อหมกปลาช่อนใบยอ 
15. แกงจืดวุ้นเส้น 
16. แกงเขียวหวานไก่ 
17. แกงส้มผักรวม 
18. ต้มยำเห็ด

และอาหารไทยที่ป้องกันมะเร็งได้ต่ำ มีอยู่ 4 ชนิดตามลำดับ คือ
19. เต้าเจี้ยวหลน 
20. น้ำพริกกุ้งสด 
21. ต้มยำกุ้ง 
22. ยำวุ้นเส้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก โดยสถาบันโภชนาการ ม.มหิดล

รูปภาพ : 22 จานเด็ด อาหารไทยช่วยลดเสี่ยงมะเร็ง

      ผลวิจัยล่าสุด สถาบันโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า 22 ตำรับอาหารไทยช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงมะเร็งได้

      ผู้วิจัยได้สร้างแบบจำลองเลียนแบบการกินอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง อาทิ อาหารปิ้ง ย่าง รมควันและอาหารที่ต้มตุ๋นเป็นเวลานาน 

      โดยนำอาหารไทยเหล่านั้นมาทำปฏิกิริยากับไนไตรท์ ในสภาวะคล้ายการย่อยอาหารของคน ได้ผลวิจัยว่า อาหารไทยที่ป้องกันมะเร็งได้ดีที่สุด ตามลำดับ ได้แก่

1. คะน้าน้ำมันหอย 
2. ไก่ทอดสมุนไพร 
3. ทอดมันปลากราย 
4. แกงเลียง 
5. ไข่เจียวใส่หอมหัวใหญ่พร้อมมะเขือเทศ 
6. กะเพรากุ้งใส่ถั่วฝักยาว 
7. แกงเผ็ดเป็ดย่าง 
8. แกงจืดตำลึง 
9. ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ 
10. ส้มตำไทย 
11. ผัดผักรวมน้ำมันหอย

ส่วนอาหารไทยที่ป้องกันมะเร็งได้ดีในระดับกลางตามลำดับได้แก่
12. ฉู่ฉี่ปลาทับทิม 
13. น้ำพริกลงเรือ 
14. ห่อหมกปลาช่อนใบยอ 
15. แกงจืดวุ้นเส้น 
16. แกงเขียวหวานไก่ 
17. แกงส้มผักรวม 
18. ต้มยำเห็ด

และอาหารไทยที่ป้องกันมะเร็งได้ต่ำ มีอยู่ 4 ชนิดตามลำดับ คือ
19. เต้าเจี้ยวหลน 
20. น้ำพริกกุ้งสด 
21. ต้มยำกุ้ง 
22. ยำวุ้นเส้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก โดยสถาบันโภชนาการ ม.มหิดล

สุขได้ ถ้าคิดเป็น

• เมื่อตอนที่นกยังมีชีวิตอยู่ มันจะกินมดเป็นอาหาร ... แต่เมื่อมันตาย มันก็จะถูกมดกินเป็นอาหารเช่นกัน •

• ต้นไม้หนึ่งต้นสามารถทำเป็นไม้ขีดไฟได้เป็นล้านๆก้าน ... แต่ไม้ขีดไฟเพียงก้านเดียว ก็สามารถทำลายเผาต้นไม้ ได้เป็นล้านๆต้นเช่นกัน •

• จงอย่ามองข้ามคนที่ด้อยกว่า เพราะหลงตัวเองว่ายิ่งใหญ่กว่า •

• อย่าคิดว่าเราแข็งแรง ไม่มีวันป่วยเพราะอายุยังน้อย ... โลงศพไม่ได้มีไว้ใส่คนแก่ แต่มีไว้ใส่คนตาย •

 อย่าคิดว่าฉันรวยใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย สักวันเงินเพียง 1 พันบาท อาจมีค่ามากมายในวันตกอับก็ได้ •

• ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิต ใหญ่ได้ก็เล็กได้ •

• รวยได้ ก็จนเป็น ... แข็งแรงได้ก็ป่วยได้ •

• เกิดได้ก็ต้องตายได้ทุกคน ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า •

• ท่องจำให้ขึ้นใจ อย่าหลงตน อย่าลืมตัว ... "และที่สำคัญ" ... ข้าจะไม่ประมาทกับชีวิตอีกต่อไป •

อยากอายุยืนยาว ต้องรักษาสุขภาพ ใช้ชีวิตอย่างมีสติ

คาถาอายุยืนยง..จร้า
๑ ดื่มน้ำเป็นยา
๒.กินปลาเป็นหลัก
๓.กินผักเกินครึ่ง
๔.ไข่ไก่ฟองหนึ่ง
๕. อย่าพึ่งกาแฟ
๖.อย่าแก่ของเค็ม
๗.อย่าเข้มของหวาน
๘.อย่าทานของทอด
๙.อย่ากอดแต่เหล้า
๑๐.อย่าเฝ้าสูดควัน
๑๑.สุริยันต์วันทา
๑๒.เริงร่าออกกำลังกาย
๑๓.ยืดเส้นสายเป็นนิจ
๑๔.สมาธิจิตประจำ
๑๕.สำคัญ"ปล่อยวาง"
ปฏิบัติได้ครบครัน รับรองสุขสันต์ปลอดโรค