Wednesday, May 14, 2025

ภัยเงียบ ความเครียด นอนไม่หลับ ทำให้ไต ตับ หัวใจ เสื่อมถอย...

                 การใช้ชีวิต การทำงาน ในปัจจุบันนั้น พบว่าปัญหาหลายๆ อย่างทำให้สุขภาพของคนไทย เสื่อมถอยลง ยิ่งอายุมากขึ้นสุขภาพยิ่งเสื่อมถอย  ปัญหาความเครียดสะสมจากที่ทำงาน ปัญหาการเงิน ทำให้นอนไม่หลับ ส่งผลให้ร่างกายเกิดการพักผ่อนไม่เพียงพอ  อวัยวะหลายๆ อย่างได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะ ไต ตับ หัวใจ... 
....เราควรจะหันมาใส่ใจสุขภาพให้มากขึ้น     บริหาร อารมณ์ อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายสามารถยืนหยัดต่อไปได้อีกนานๆ โดยไม่ต้องพึ่งพายารักษาโรค



Monday, February 06, 2023

บุหรี่ไฟฟ้า อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

  วันงดสูบบุหรี่โลกตรงกับวันที่ 31 พฤษภาคมของทุกปี องค์การอนามัยโลกเล็งเห็นอันตรายจากการสูบบุหรี่ ผลกระทบต่อสุขภาพของผู้สูบ และเปรียบได้กับเป็น “บุหรี่มือสอง” เพราะผู้ที่อยู่ใกล้ๆ ก็จะได้รับควันบุหรี่จากคนที่สูบไปทางอ้อมก่อให้เกิดโรคร้ายเหมือนสูบบุหรี่เองโดยตรงได้เช่นกัน โดยทั่วไปเรารู้จักบุหรี่ธรรมดากันมานานมากแล้ว ขณะที่บุหรี่ไฟฟ้าถือเป็นของใหม่ ยังไม่มีข้อมูลวิจัยมากพอที่จะระบุถึงอันตรายของสารเคมีแต่ละตัวในบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะหากยิ่งใช้นานๆ ในระยะยาว แต่การที่ยังไม่มีข้อมูลว่าอันตรายไม่ได้แปลว่าไม่มีอันตราย ควรร่วมกันรณรงค์ ลด ละ เลิกบุหรี่ ไม่ใช่เพียงแค่บุหรี่ธรรมดาแต่รวมถึงบุหรี่ไฟฟ้าที่อันตรายไม่แพ้กัน

 


นพ.จตุภัทร  คุณสงค์ จิตแพทย์ประจำศูนย์จิตรักษ์กรุงเทพ  โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า บุหรี่ไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์สูบบุหรี่ชนิดหนึ่งซึ่งใช้กลไกไฟฟ้าทำให้เกิดความร้อนและไอน้ำที่ประกอบไปด้วยสารเคมีต่างๆ โดยไม่มีควันจากกระบวนการเผาไหม้เหมือนบุหรี่ปกติทั่วไป ประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก 3 ส่วน คือ แบตเตอรี่  ตัวทำให้เกิดไอและความร้อน (Atomizer) และน้ำยา  และถ้ากล่าวถึงเฉพาะส่วนของน้ำยาที่ถูกทำให้เป็นไอและเข้าสู่ร่างกายของผู้สูบจะประกอบด้วยสารประกอบหลักๆ คือ นิโคติน ถือเป็นสารเสพติดชนิดหนึ่งที่พบได้ในทั้งบุหรี่ไฟฟ้าและบุหรี่ปกติทั่วไป ที่ทำให้ร่างกายเสพติดการสูบบุหรี่ โพรไพลีนไกลคอล เป็นส่วนประกอบในสารสำหรับการทำให้เกิดไอ กลีเซอรีน เป็นสารเพิ่มความชื้นที่จะผสมผสานกับสารโพรไพลีนไกลคอล องค์การอาหารและยา (FDA) ยืนยันถึงความปลอดภัยว่าใช้ได้ทั้งในอาหารและยา แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าเมื่อเปลี่ยนรูปแบบเป็นไอที่สูบหรือสูดแล้วเกิดผลกระทบอย่างไรต่อร่างกาย เช่นเดียวกันกับโพรไพลีนไกลคอล และสารแต่งกลิ่นและรส ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้กับอาหารทั่วๆ ไป

 

ซึ่งสารเคมีชนิดต่างๆ ที่พบในน้ำยาสามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ เช่น นิโคติน เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะไปกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง เพิ่มความดันโลหิต เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจ เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปอดโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจมะเร็งช่องปาก หลอดอาหารและตับอ่อน นอกจากนี้นิโคตินยังกระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลเพิ่มขึ้น ซึ่งสารนี้ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น เป็นสาเหตุของการเป็นโรคเบาหวาน นิโคตินกระตุ้นให้จำนวนเซลล์ผนังหลอดเลือดเพิ่มขึ้น ทำให้เส้นเลือดตีบ เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ และหลอดเลือดสมอง สำหรับหญิงตั้งครรภ์ นิโคตินส่งผลต่อการพัฒนาของสมองทารกในครรภ์ การได้รับสารนิโคตินในระดับที่สูง (60 mg. ในผู้ใหญ่ และ 6 mg. ในเด็กเล็ก) เสี่ยงต่อการเสียชีวิต โพรไพลีนไกลคอลและสาร Glycerol/Glycerin เมื่อสัมผัสหรือสูดดมเข้าไปอาจทำให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนัง ดวงตาและปอดได้ โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นโรคปอดเรื้อรัง โรคหอบหืด และโรคถุงลมโป่งพอง    นอกจากนี้ยังพบสารประกอบอีกมากมายในไอของบุหรี่ไฟฟ้าที่มีข้อมูลว่าเป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น โลหะหนัก สารหนู สารกลุ่ม Formaldehyde และกลุ่ม Benzene เป็นต้น จากการวิจัยพบว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ เพิ่มขึ้น เช่นโรคหัวใจ เกิดการเปลี่ยนแปลงของ DNA ในเซลล์ปอด หัวใจ และกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง บุหรี่ไฟฟ้า เสพติดหรือไม่ แน่นอนว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีสารนิโคติน ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดการเสพติด ดังนั้นการสูบบุหรี่ไฟฟ้าจึงทำให้ผู้สูบ “ติด” ได้ไม่ต่างจากบุหรี่ธรรมดา นอกจากนี้รูปแบบ ขั้นตอนในการสูบบุหรี่ไฟฟ้าก็มีความใกล้เคียงกับการสูบบุหรี่ธรรมดามาก ทำให้ผู้สูบยังคง “ติด” ในพฤติกรรมการสูบเหมือนบุหรี่ธรรมดา

 

ข้อสงสัยสำคัญที่เคยได้ยินกันมานานที่ว่า หากอยากเลิกบุหรี่ธรรมดาแล้วหันมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าแทนจะช่วยได้หรือไม่ ทำให้ผู้สูบลดการสูบบุหรี่ธรรมดาลงจริงหรือ ผลสรุปในทางตรงกันข้ามคือ การสูบบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ช่วยลดการสูบบุหรี่ธรรมดาลงเลย ร้ายไปกว่านั้นยังทำให้อัตราการสูบบุหรี่โดยรวมทั้งธรรมดาและไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นไปอีก โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะการที่มีนิโคตินเหมือนกัน และเยาวชนที่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่สูบบุหรี่(ไม่ว่าจะเริ่มจากชนิดไหน)ท้ายที่สุดก็จะมีการแลกเปลี่ยนทดลองกันภายในกลุ่ม จนคุ้นเคยกับบุหรี่ทุกๆ รูปแบบ ขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการประกาศห้ามอย่างเป็นทางการมิให้บริษัทบุหรี่โฆษณาว่าบุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่ธรรมดาได้ เพราะขัดกับข้อมูลจากการวิจัยอย่างชัดเจน เป็นความจริงที่ว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีกลไกการทำงานที่ไม่มีกระบวนการเผาไหม้เหมือนบุหรี่ธรรมดา ทำให้ผู้สูบลดความเสี่ยงที่จะได้รับสารที่เป็นอันตรายจากการเผาไหม้บางตัว เช่น น้ำมันดินหรือทาร์ (Tar) และคาร์บอนมอนอกไซด์ (Carbon Monoxide) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งและโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ

 

จากที่กล่าวมาข้างต้น สารประกอบอื่นๆ ที่พบในบุหรี่ไฟฟ้าก็ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ไม่แพ้กัน นอกจากนี้ยังมีบางงานวิจัยที่ระบุว่าไอระเหยของบุหรี่ไฟฟ้ามีขนาดอนุภาคที่เล็กกว่าบุหรี่ธรรมดา ทำให้สามารถสูดเข้าไปในปอดส่วนลึกได้มากกว่า อนุภาคที่เล็กนี้จะจับเข้ากับเนื้อเยื่อปอดและดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว และยากที่กลไกธรรมชาติของร่างกายจะขับออกมาได้

"สูบบุหรี่ไฟฟ้าอาจถูกจับกุม ในข้อหาครอบครองสิ่งของต้องห้าม (บุหรี่ไฟฟ้า) ที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย” 


ขณะนี้บุหรี่ไฟฟ้าถือเป็นสินค้าต้องห้าม บุคคลที่มีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในความครอบครอง ถือว่ามีความความผิดทั้งผู้นำเข้า ผู้ขายและผู้ใช้ เมื่อเจ้าหน้าที่พบเห็นความผิดซึ่งหน้าสามารถเข้าจับกุมได้  กรณีเป็นผู้นำเข้ามีโทษ จำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับเป็นเงิน 5 เท่า ของสินค้าที่นำเข้า หรือทั้งจำทั้งปรับ  กรณีจำหน่ายจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ  ส่วนกรณีผู้สูบหรือมีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครอง ถือว่ามีความผิดในฐานครอบครองสิ่งที่นำเข้ามาโดยผิดกฎหมาย ต้องระวังโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับเป็นเงิน 4 เท่าราคาของซึ่งรวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือทั้งจำทั้งปรับ ดังนั้น เพื่อสุขภาพที่ดี จึงขอร่วมรณรงค์ ลด ละ เลิกบุหรี่ เพื่อตัวท่านเองและคนรอบข้างเพื่อสุขภาพกายและใจที่แข็งแรง ก้าวผ่านควันบุหรี่ที่เป็นอันตรายได้ 


ที่มา: https://www.bangkokhospital.com/content/tobacco-harm-ecigarettes

Thursday, October 03, 2019

มารู้จัก ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ สำคัญกับสุขภาพเราแค่ไหน

ส่วนไหนของร่างกายที่มีเซลล์ประสาทมากกว่าไขสันหลังและทำงานได้อย่างอิสระจากระบบประสาทส่วนกลาง?
คำตอบที่คุณอาจไม่ทราบก็คือ ลำไส้ นั่นเอง ลำไส้ของเรามีเซลล์ประสาทหลายล้านเซลล์ นั่นคือเหตุผลที่ลำไส้ได้ฉายาว่าเป็น "สมองที่สอง" ของมนุษย์
ระบบย่อยอาหารของเรามีหน้าที่มากกว่าการย่อยอาหารที่เรากิน
จำนวนจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในลำไส้อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเราได้
นักวิทยาศาสตร์ กำลังวิจัยว่า สุขภาพลำไส้ที่ดีขึ้นของเรา มีส่วนทำให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น และช่วยแก้ปัญหาสุขภาพจิต ได้หรือไม่
นี่คือเรื่องน่าทึ่งเกี่ยวกับลำไส้ของเรา:
1. มันเป็นระบบประสาทอัตโนมัติ
ภาพกราฟิกจุลินทรีย์ในลำไส้Image copyrightGETTY IMAGES
คำบรรยายภาพแบคทีเรียนับล้านล้านตัวอาศัยอยู่ในลำไส้ของเรา และช่วยในการย่อยอาหาร
ดร. เมแกน รอสซี นักโภชนาการ ซึ่งได้ปริญาญาเอกสาขาสุขภาพลำไส้ และเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Gut Health Doctor กล่าวว่า "ระบบลำไส้ต่างไปจากอวัยวะอื่นในร่างกายเรา ตรงที่สามารถทำงานได้ด้วยตัวมันเอง มันตัดสินใจเองโดยอัตโนมัติ และไม่ต้องให้สมองสั่งการว่าจะทำอะไร"
การทำงานที่เป็นอิสระของลำไส้ เรียกว่า ระบบประสาทลำไส้ (enteric nervous system--ENS) ซึ่งเป็นระบบย่อยในระบบประสาทส่วนกลาง (central nervous system--CNS) ที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของกระเพาะอาหารและลำไส้เพียงอย่างเดียว
ระบบนี้คล้ายกับเครือข่ายของเซลล์ประสาทที่โยงใยกันเป็นร่างแหอยู่ในกระเพาะและระบบย่อยอาหาร
ปกติแล้วระบบ ENS สื่อสารกับระบบ CNS ผ่านระบบประสาทซิมเพเทติก และพาราซิมพาเทติก (sympathetic and parasympathetic nervous systems)
2. ราว 70% ของเซลล์ภูมิคุ้มกันอาศัยอยู่ในลำไส้
ผู้หญิงมีเครื่องหมายคำถามแปะที่หน้าผากImage copyrightGETTY IMAGES
คำบรรยายภาพเซลล์ประสาทไม่ได้มีแค่อยู่ในสมองของคุณเท่านั้น
ดร. รอสซี บอกว่า นั่นคือเหตุผลว่า ทำไมสุขภาพลำไส้จึงมีความสำคัญในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของเราเพื่อต่อสู้กับโรคต่าง ๆ
เธอ กล่าวว่า งานวิจัยเมื่อไม่นานนี้ ระบุว่า การมีปัญหากระเพาะและลำไส้ทำให้มีโอกาสที่จะเป็นโรคต่าง ๆ ง่ายขึ้นด้วย เช่น ไข้หวัด
3. 50% ของอุจจาระคือ แบคทีเรีย
ของเสียจากร่างกายเราไม่ใช่มีแค่กากอาหารเท่านั้น แต่ยังมีแบคทีเรียจำนวนมากที่ส่งผลดีต่อร่างกาย ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดการรักษาแบบการนำแบคทีเรียดีจากอุจจาระของคนหนึ่งไปใส่ในร่างกายของอีกคนที่มีแบคทีเรีย "ไม่ดี" อยู่ในลำไส้มากเกินไป
นอกจากนี้ ดร. รอสซี ยังกล่าวด้วยว่า จากการวิจัยพบว่า การขับถ่าย 3 ครั้งต่อวัน ไปจนถึง 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
4. อาหารที่หลากหลายเป็นผลดีต่อจุลินทรีย์ในลำไส้
ผักนานาชนิด
คำบรรยายภาพแบคทีเรียในลำไส้ของเราชอบอาหารที่หลากหลาย และการรับประทานอาหารที่หลากหลายจะช่วยทำให้สุขภาพและอารมณ์ดีขึ้น
ลำไส้ของเราเป็นแหล่งจุลินทรีย์นับล้านล้านตัว พวกมันมีความสำคัญในการช่วยย่อยสารอาหารบางชนิด จุลินทรีย์แต่ละกลุ่มกินอาหารที่แตกต่างกัน ดังนั้น การกินอาหารที่หลากหลายจึงช่วยทำให้สุขภาพลำไส้ดีขึ้น และทำให้สุขภาพดีขึ้นไปด้วย
ดร. รอสซี กล่าวว่า "ฉันบอกเสมอว่า จุลินทรีย์ ก็เหมือนกับสัตว์เลี้ยงตัวเล็ก ๆ ภายในร่างกายของเรา ซึ่งคุณต้องดูแลและประคบประหงมมัน"
ผู้คน ซึ่งกินอาหารเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ก็จะทำให้กลุ่มจุลินทรีย์ในลำไส้ไม่หลากหลายและไม่แข็งแรง
5. ลำไส้มีความเชื่อมโยงกับอารมณ์
ดร. รอสซี กล่าวว่า ถ้าคุณกำลังมีปัญหาลำไส้อยู่ ก็เป็นความคิดที่ดีในการสำรวจความเครียดของตัวเอง
เธอบอกว่า: "วิธีที่ฉันใช้อยู่คือ ฉันจะแนะนำให้คนไข้ของฉันทำสมาธิ 15-20 นาทีต่อวัน หลังจากที่พวกเขาทำต่อเนื่องทุกวันเป็นเวลา 3-4 สัปดาห์ จนกลายเป็นนิสัย ฉันสังเกตเห็นว่า พวกเขามีอาการดีขึ้นเพียงเพราะทำเช่นนั้น"
อาหารที่เต็มไปด้วยแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อลำไส้Image copyrightGETTY IMAGES
คำบรรยายภาพการวิจัยใหม่ เป็นการศึกษาประโยชน์ของการรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยแบคทีเรีย "ดี"
"การบรรเทาความเครียดเป็นเรื่องที่สำคัญมากจริง ๆ"
ปัจจัยหนึ่งที่เชื่อมโยงลำไส้และอารมณ์โดยทั่วไปของเราก็คือ สารเซโรโทนิน (serotonin) ประมาณ 80-90% เกิดขึ้นจากบริเวณทางเดินอาหาร
สารเซโรโทนิน เป็นสารสื่อประสาททางเคมี ที่ส่งผลต่อการทำงานหลายอย่างของร่างกาย รวมถึง การเคลื่อนไหวของลำไส้ นอกจากนี้ยังมีความเกี่ยวข้องกับอาการผิดปกติทางจิตใจด้วย
การมีความเครียดติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจจะลดระดับของสารเซโรโทนินลง และส่งผลต่อสภาวะอารมณ์ของเราได้ รวมถึงความสุข ระดับความกังวล และอารมณ์
การศึกษากับสัตว์หลายชนิดและมนุษย์ก่อนหน้านี้ ได้รวบรวมหลักฐานของการทำงานที่ไม่สอดประสานกันของกลุ่มจุลินทรีย์ที่พบในลำไส้ของผู้ป่วยที่มีอาการซึมเศร้า และมีปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ
ทำให้มีการวิจัยใหม่ในตอนนี้คือ การสั่งจ่ายยา "ไซโคไบโอติกส์" (psychobiotics) ซึ่งเป็นแบคทีเรียดีหลายชนิดที่มีความสำคัญให้แก่คนไข้ เพื่อช่วยให้สุขภาพจิตของพวกเขาดีขึ้น
คนกำลังเอามือกุมท้องImage copyrightGETTY IMAGES
คำบรรยายภาพดร. รอสซี กล่าวว่า ถ้าคุณกลัวอาหารบางชนิด คุณอาจจะมีอาการบางอย่างเกิดขึ้น ถ้าคุณรับประทานมันเข้า
6. ถ้าคุณเชื่อฝังใจว่า อาหารบางชนิดไม่ดีต่อตัวคุณ คุณก็จะมีอาการผิดปกติขึ้น
คนบางคนมีอาการปวดท้องง่าย แต่ดร. รอสซี ระบุว่า การศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ ระบุว่า ถ้าคุณเริ่มรู้สึกกลัวอาหารบางชนิด คุณก็จะเริ่มมีอาการบางอย่าง ถ้าคุณกินมันเข้าไป
"ที่คลินิกของฉัน ฉันเห็นอยู่ตลอดว่า ความเชื่อนั้นทำให้เกิดปัญหาลำไส้ได้มากแค่ไหน" เธอ กล่าว
คนจำนวนมากเชื่อว่า กลูเตน (gluten) หรือ แล็กโตส (lactose) ส่งผลเสียต่อพวกเขา แม้ว่าแท้จริงแล้ว พวกเขาไม่แพ้ ทว่า เมื่อเชื่อแบบนั้น พวกเขาก็อาจเจอกับปัญหาเมื่อกินอาหารเหล่านี้ลงไป
7. คุณพัฒนาสุขภาพลำไส้ของคุณได้
ดร. รอสซี ได้ระบุ วิธีการทำให้ลำไส้มีสุขภาพดีขึ้นมาหลายข้อ
  • กินอาหารที่หลากหลาย เพื่อเพิ่มความหลากหลายของกลุ่มจุลินทรีย์ในลำไส้
  • จัดการกับความเครียดในแบบของคุณ เช่น การทำสมาธิ, การพักผ่อน, การฝึกจิต หรือ ฝึกโยคะ เป็นต้น
  • ถ้าคุณมีปัญหาลำไส้อยู่แล้ว ให้หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ คาเฟอีน และอาหารรสเผ็ด เพราะการรับประทานอาหารเหล่านี้จะช่วยทำให้ปัญหาแย่ลง
  • พยายามปรับปรุงการนอน การศึกษาหนึ่งพบว่า ถ้าคุณรบกวนนาฬิการ่างกายด้วยการเปลี่ยนรูปแบบการนอน ก็จะเป็นการรบกวนวงจรของจุลินทรีย์ในลำไส้ไปด้วย และจงจำไว้ว่า คุณต้องดูแลมันให้ดี

    ที่มา :: https://www.bbc.com/thai/international-45709419

Thursday, January 10, 2019

The secret of longevity, 81-year-old grandfather

The secret of longevity, 81-year-old grandfather

The day before I took my child to study special ...
Sitting in the air-conditioned room, the weather is cool. So I came out to sit outside the front of the institution.

Over time, one of the grandchildren brought their children to study as well. He came to sit outside as well as me.
I saw that it was quite busy. So tell you to go inside

Me: My eyes outside the mosquitoes a lot. Will not be comfortable
Khun Ta: Ah, I like the natural air more than in the air-conditioned room. It's natural.
Talked for a long time Khun Ta then asked me what religion I said that I respect Buddhism, which Ta Ta went to live in the way of Buddhism ....
Me: I'm sorry. How old are you?
Khun Ta: 81 years old
Me: I think that Khun Ta is sixty-one. Look at you. The eyes are still strong. Sit back straight. Conveniently walking (without a cane), not showing signs of eighty people.

.... Khun Ta said the cause and effect of taking care of the body to be healthy and long life ...

"Don't stress"

... don't stress No matter what Do not go against nature. Do everything we think is right

I believe that No matter what we do, there will be angels to save. Every story Can fool anyone, but we can't fool ourselves Can't deceive an angel It's time for the angels to come and see what we have done.

So let us do only what we think is correct. Then we will be comfortable, long life

He taught to believe in the law of karma ...

Anything that is heavy, we leave. Wait, it has a solution.

Stress is the cause of many diseases. If we can release it Age will be long

Emotions: Do only what you think is correct and be comfortable.
Food: Eat moderately. Do not force nature.
Exercise: Moderate. Do not force nature.
Weather: Eyes like natural air Don't like being in the air room
Enemy: There is one more person.
Think only good things Have mercy on others
Forgive others and give yourself a lot

เคล็ดลับอายุยืน คุณตาวัย 81 ปี

วันก่อนผมพาลูกไปเรียนพิเศษ...
นั่งรออยู่ด้านในห้องแอร์อากาศค่อนข้างเย็น ผมจึงออกมานั่งด้านนอกบริเวณหน้าสถาบันเรียนฯ

เวลาผ่านไป มีคุณตาท่านหนึ่งพาหลานมาเรียนเช่นเดียวกัน ท่านมานั่งด้านนอกเช่นเดียวกับผม
ผมเห็นว่ายุงมันค่อนข้างเยอะ เลยบอกท่าน แนะนำให้เข้าไปนั่งข้างใน

ผม     : คุณตาข้างนอกยุงเยอะนะครับ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา
คุณตา: มะเป็นไร ชอบอากาศธรรมชาติมากกว่า ในห้องแอร์ มันฝืนธรรมชาติ...
พูดคุยกันอยู่นาน คุณตาก็ถามผมว่า ศาสนาอะไร ผมก็บอกว่าผมนับถือศาสนาพุทธ ครับ ซึ่งคุณตาก็ดำเดินชีวิตตามวิถีแห่งพุทธ....
ผม     : ขอโทษนะครับ คุณตาอายุเท่าไหร่ครับ
คุณตา: อายุ 81 ปี
ผม     : ผมนึกว่าคุณตาอายุสักหกสิบปลายๆ ซะอีก ดูคุณตายังแข็งแรงนั่งหลังตรง เดินเหินสะดวก(ไม่มีไม้เท้า) ไม่แสดงอาการของคนวัยแปดสิบเลย ครับ

....คุณตาเลยบอกเหตุและผลของการดูแลร่างกายให้แข็งแรงและอายุยืนยาว...

"อย่าไปเครียด"


...อย่าไปเครียด ไม่ว่าเรื่องใดๆ อย่าไปฝืนธรรมชาติ ทำทุกอย่างที่เราคิดว่าถูกต้องแล้วเราจะสบายใจ กินได้สบายใจ นอนหลับสนิท ไม่มีเรื่องมาคอยคิดคอยเครียด

คุณตาเชื่อว่า ไม่ว่าเราทำอะไรจะมีเทวดาคอยบันทึก ทุกเรื่องราวไว้ หลอกใครได้แต่เราหลอกตัวเองไม่ได้ หลอกเทวดาไม่ได้ ถึงเวลาเทวดาเค้าจะเอามาให้ดูว่าตอนเรามีชีวิตอยู่ทำอะไรไว้บ้าง

ดังนั้น ให้เราทำแต่สิ่งดีงาม ในสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง แล้วเราจะสบายใจ อายุยืนยาว

ท่านสอนให้เชื่อในกฎแห่งกรรม...

อะไรที่มันหนักไปเราก็ปล่อยวาง เดี๋ยวมันก็มีทางออก

ความเครียดเป็นต้นเหตุของโรคหลายๆ โรค ถ้าเราปล่อยวางได้ อายุก็จะยืนยาว

อารมณ์     : ทำแต่สิ่งที่คิดว่าถูกต้องแล้วจะสบายใจ มีสติ ทำสมาธิ
อาหาร      : ทานให้พอประมาณอย่าฝืนธรรมชาติ
ออกกำลัง : พอประมาณอย่าฝืนธรรมชาติให้ได้เห็นเหงื่อเหนื่อยก็พัก
อากาศ      : คุณตาชอบอากาศธรรมชาติ ไม่ชอบอยู่ในห้องแอร์และไม่ดื่มน้ำเย็น เพราะจะทำให้ร่างกายทำงานผิดปกติ
ศัตรู          : มีหนึ่งคนก็มากไปแล้ว จะทำให้เราไม่สบายใจ อภัยได้ให้อภัย
คิดแต่สิ่งดีๆ มีเมตตากับคนอื่น
ให้อภัยคนอื่นและตัวเองให้มากๆ 

Friday, November 09, 2018

สาเหตุของการเกิดมะเร็ง

สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง
90-95% ของสาเหตุหลักของการเกิดโรคมะเร็งเนื่องมาจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ส่วนที่เหลืออีก 5-10% เนื่องมาจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม[4] คำว่า "สิ่งแวดล้อม" ที่ใช้โดยนักวิจัยโรคมะเร็งหมายถึงสาเหตุใด ๆ ที่ไม่ได้มาจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมเช่นวิถีการดำเนินชีวิต, ปัจจัยทางเศรษฐกิจและพฤติกรรม, และไม่ใช่แค่มลพิษ[28] ปัจจัยแวดล้อมที่พบบ่อยที่นำไปสู่​​การตายของโรคมะเร็ง ได้แก่ ยาสูบ (25-30%) อาหารและโรคอ้วน (30-35%), การติดเชื้อ (15-20%), การสัมผัสกับรังสี (ทั้งโอโซนและไม่โอโซน 10%) ความเครียด, ขาดการออกกำลังกาย, และมลพิษสิ่งแวดล้อม[4]
มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะพิสูจน์ว่าอะไรทำให้เกิดโรคมะเร็งในบุคคลหนึ่ง ๆ เพราะมะเร็งส่วนใหญ่มีสาเหตุหลายอย่าง ตัวอย่างเช่นถ้าคนที่ใช้ยาสูบอย่างหนักจนพัฒนาเป็นโรคมะเร็งที่ปอด ดังนั้นสาเหตุก็อาจมาจากการใช้ยาสูบ แต่เนื่องจากทุกคนมีโอกาสเล็กน้อยที่จะพัฒนาโรคมะเร็งปอดโดยเป็นผลมาจากมลพิษทางอากาศหรือการฉายรังสี ดังนั้นมีโอกาสเล็กน้อยที่ โรคมะเร็งจะได้รับการพัฒนาเพราะมลพิษทางอากาศหรือการฉายรังสี ยกเว้นการติดต่อที่หายากที่เกิดขึ้นกับการตั้งครรภ์และมีเพียงเล็กน้อยจากการบริจาคอวัยวะ มะเร็งโดยทั่วไปจะไม่เป็นโรคที่ติดต่อถ่ายทอดได้[29]

สารเคมีแก้ไข

ข้อมูลเพิ่มเติม: แอลกอฮอล์กับโรคมะเร็งและการสูบบุหรี่กับโรคมะเร็ง

อุบัติการณ์ของโรคมะเร็งปอดมีความสัมพันธ์กับการสูบบุหรี่ ตามที่แสดงในแผนภูมิ เมื่อมีคนสูบบุหรี่มากขึ้น 20 ปีต่อมาก็มีผู้เสียชีวิตเนื่องจากมะเร็งปอดมากขึ้นตามกัน
การสัมผัสกับสารบางอย่างมีการเชื่อมโยงกับบางชนิดของโรคมะเร็ง สารเหล่านี้จะเรียกว่า "สารก่อมะเร็ง" (อังกฤษcarcinogens) ยกตัวอย่าง การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปอดถึง 90%[30] นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งในกล่องเสียง, ในศีรษะ, ในลำคอ, ในกระเพาะอาหาร, ในกระเพาะปัสสาวะ, ในไต, ในหลอดอาหาร, และในตับอ่อน[31] ควันของยาสูบมีสารก่อมะเร็งที่รู้จักกันมากกว่าห้าสิบอย่าง รวมทั้งไนโตรซามีน และ polycyclic aromatic hydrocarbon[32] ยาสูบรับผิดชอบหนึ่งในสามของทั้งหมดที่เสียชีวิตจากมะเร็งในประเทศที่พัฒนาแล้ว[33]และประมาณหนึ่งในห้าทั่วโลก[32] อัตราการตายด้วยโรคมะเร็งปอดในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นภาพสะท้อนของการสูบบุหรี่ ที่มีการเพิ่มขึ้นของการสูบบุหรี่ตามด้วยการเพิ่มขึ้นอย่างมากของอัตราการตายเนื่องจากมะเร็งปอดและเมื่อเร็ว ๆ นี้การลดลงของอัตราการสูบบุหรี่มาตั้งแต่ปี 1950s ตามด้วยการลดลงของอัตราการตายเนื่องจากโรคมะเร็งปอดในผู้ชายตั้งแต่ปี 1990[34][35]
ในยุโรปตะวันตก 10% ของมะเร็งในเพศชายและ 3% ของมะเร็งทั้งหมดในเพศหญิงจะมีสาเหตุมาจากการดื่มสุรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งตับและมะเร็งทางเดินอาหาร[36] มะเร็งที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสสารเคมีขณะทำงานเชื่อว่าจะเป็นสาเหตุระหว่าง 2-20% ของทุกกรณี[37] ในทุก ๆ ปี อย่างน้อย 200,000 คนทั่วโลกเสียชีวิตจากโรคมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ทำงานของพวกเขา[38] คนงานหลายล้านมีความเสี่ยงของการพัฒนาสู่โรคมะเร็งเช่นโรคมะเร็งปอดและโรคจากการสูดดมควันบุหรี่หรือ เส้นใยแร่ใยหินในระหว่างการทำงานหรือโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวจากการสัมผัสกับสารเบนซีนที่สถานที่ทำงานของพวกเขา[38]

อาหารและการออกกำลังกายแก้ไข

บทความหลัก: อาหารกับโรคมะเร็ง
อาหาร การไม่ออกกำลังกาย และโรคอ้วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตจากมะเร็งได้ถึง 30-35% ของ[4][39] ในสหรัฐอเมริกาน้ำหนักตัวเกินเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาของโรคมะเร็งหลายชนิดและเป็นปัจจัยใน 14-20% ของการเสียชีวิตจากมะเร็งทั้งหมด[39] การศึกษาในสหราชอาณาจักรรวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับ
กว่า 5 ล้านคนแสดงให้เห็นว่าดัชนีมวลกายที่สูงขึ้นจะเกี่ยวข้องกับอย่างน้อย 10 ชนิดของโรคมะเร็งและมีความรับผิดชอบประมาณ 12,000 กรณีในแต่ละปีในประเทศนั้น[40] การไม่ออกกำลังกายเชื่อว่าจะนำไปสู่​​ความเสี่ยงโรคมะเร็ง ไม่เพียงแต่ผ่านทางผลกระทบต่อน้ำหนักตัว แต่ยังผ่านผลกระทบด้านลบต่อระบบภูมิคุ้มกันและระบบต่อมไร้ท่อ[39] มากกว่าครึ่งหนึ่งของผลกระทบจากการรับประทานอาหารเกิดจากการมีภาวะโภชนาการเกิน ( การรับประทานอาหารมากเกินไป) มากกว่าจากการกินผักน้อยเกินไปหรืออาหารที่ดีต่อสุขภาพอื่น ๆ
อาหารบางอย่างจะเชื่อมโยงกับการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด อาหารที่มีเกลือสูงเชื่อมโยงกับโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร[41] 'อะฟลาท็อกซินบี 1' สารปนเปื้อนอาหารที่พบบ่อยประเภทหนึ่งทำให้เกิดโรคมะเร็งตับ[41] การเคี้ยวพลูถั่ว (อังกฤษBetel nut) ทำให้เกิดโรคมะเร็งในช่องปาก[41] ความแตกต่างในการรับประทานอาหารส่วนหนึ่งอาจอธิบายความแตกต่างในการเกิดมะเร็งในแต่ละประเทศที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารจะพบมากในประเทศญี่ปุ่นเนื่องจากอาหารมีเกลือสูง[42] และมะเร็งลำไส้ใหญ่จะพบมากในประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้อพยพเข้าเมืองพัฒนาความเสี่ยงของประเทศใหม่ของพวกเขาภายในหนึ่งเจนเนอเรชั่น แนะนำการเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างการรับประทานอาหารและโรคมะเร็ง[43]

การติดเชื้อแก้ไข

บทความหลัก: สาเหตุการติดเชื้อของโรคมะเร็ง
ทั่วโลกประมาณ 18% ของการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเกี่ยวข้องกับโรคติดเชื้อ[4] สัดส่วนนี้แตกต่างกันไปในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกจากที่สูง 25% ในทวีปแอฟริกาจนถึงน้อยกว่า 10% ในประเทศที่พัฒนาแล้ว[4] ไวรัสเป็นเชื้อโรคปกติของการติดเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง แต่แบคทีเรียและปรสิตยังอาจสร้างผลกระทบกับโรคมะเร็งได้เช่นกัน
ไวรัสที่สามารถทำให้เกิดมะเร็งได้เรียกว่า oncovirus ซึ่งรวมถึง humam papillomavirus (มะเร็งปากมดลูก), Epstein-Barr ไวรัส (โรค B-cell lymphoproliferative และโรคมะเร็งโพรงหลังจมูก), herpesvirus sarcoma ของ Kaposi (เนื้องอก Kaposi และ primary effusion lymphomas), ไวรัสตับอักเสบบีและไวรัสตับอักเสบ C (มะเร็งตับ), และ human T -cell ไวรัส-1 โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
(leukemias T-cell) การติดเชื้อแบคทีเรียยังอาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็ง เท่าที่เห็นในมะเร็งกระเพาะอาหารที่เกิดจาก Helicobacter pylori[44] การติดเชื้อปรสิตเกี่ยวข้องอย่างมากกับโรคมะเร็งรวมถึง Schistosoma haematobium (มะเร็งเซลล์ squamous ของกระเพาะปัสสาวะ) และพยาธิใบไม้ในตับ, Opisthorchis viverrini และ Clonorchis sinensis (มะเร็งท่อน้ำดี)[45]

การแผ่รังสีแก้ไข

บทความหลัก: โรคมะเร็งที่เกิดขึ้นจากการฉายรังสี
10% ของมะเร็งที่แพร่กระจายเกี่ยวข้องกับการได้รับรังสี รวมทั้งจากรังสีอัลตราไวโอเลตทั้งแบบโอโซนและแบบที่ไม่ใช่โอโซน[4] นอกจากนี้ส่วนใหญ่ของมะเร็งที่ไม่แพร่กระจายจะเป็นมะเร็งผิวหนังที่ไม่ใช่ melanoma ที่เกิดจากรังสีอัลตราไวโอเลตแบบที่ไม่ใช่โอโซน ส่วนใหญ่มาจากแสงแดด แหล่งที่มาของรังสีรวมถึงการถ่ายภาพทางการแพทย์และก๊าซเรดอน
รังสีไม่ได้เป็นสารกลายพันธุ์ที่แข็งแกร่งอย่างชัดเจน[46]ตัวอย่างเช่น การสัมผัสกับก๊าซเรดอนโดยผู้อยู่อาศัยมีความเสี่ยงโรคมะเร็งเช่นเดียวกับผู้สูบบุหรี่ไม่สม่ำเสมอ[46] รังสีเป็นแหล่งโรคมะเร็งที่มีศักยภาพมากขึ้นเมื่อมีการรวมกับสารก่อให้เกิดมะเร็งอื่น ๆ เช่นการสัมผัสก๊าซเรดอนบวกกับยาสูบ[46] รังสีสามารถทำให้เกิดมะเร็งในพื้นที่ส่วนใหญ่ของร่างกาย ในสัตว์ทุกชนิดและทุกเพศทุกวัย เด็กและวัยรุ่นมีแนวโน้มที่จะพัฒนาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่เกิดจากรังสีเป็นสองเท่าที่เกิดขึ้นกับผู้ใหญ่; การได้รับรังสีก่อนเกิดมีผลเป็นสิบเท่า[46]
รังสีที่ใช้ทางการแพทย์มีขนาดเล็ก แต่แหล่งกำเนิดรังสีมะเร็งมีจำนวนเพิ่มขึ้น รังสีอาจจะใช้ในการรักษามะเร็งอื่น ๆ แต่ในบางกรณีอาจทำให้เกิดรูปแบบที่สองของโรคมะเร็ง[46] นอกจากนี้ มันยังใช้ในบางชนิดของการถ่ายภาพทางการแพทย์อีกด้วย[47]
การสัมผัสกับรังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์เป็นเวลานานสามารถนำไปสู่​​มะเร็งผิวหนังแบบ melanoma และมะเร็งผิวหนังร้ายแรงอื่น ๆ[48] หลักฐานที่ชัดเจนได้ชี้ไปที่รังสีอัลตราไวโอเลต โดยเฉพาะอย่างยิ่งคลื่นความยาวขนาดกลางที่ไม่ใช่โอโซน (UVB) ว่าเป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนังที่ไ​​ม่ใช่เนื้องอกส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นรูปแบบทั่วไปส่วนใหญ่ของโรคมะเร็งในโลก[48]

รังสีความถี่วิทยุที่ไม่โอโซนจากระบบโทรศัพท์มือถือ, ระบบส่งกำลังไฟฟ้​​าและแหล่งอื่นที่คล้ายคลึงกันได้รับการอธิบายว่าเ​​ป็น "สารก่อมะเร็งที่เป็นไปได้" โดยองค์การระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยมะเร็งขององค์การอนามัยโลก[49] อย่างไรก็ตามการศึกษายังไม่พบความเชื่อมโยงสอดคล้องกันระหว่างรังสีจากโทรศัพท์มือถือและความเสี่ยงโรคมะเร็ง[50]

พันธุกรรมแก้ไข

ส่วนใหญ่ของโรคมะเร็งจะไม่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม ("โรคที่เกิดครั้งเดียว") โรคมะเร็งที่ติดต่อทางกรรมพันธุ์เบื้องต้นเป็นสาเหตุมาจากข้อบกพร่องในการถ่ายทอดทางพันธุกรรม น้อยกว่า 0.3% ของประชากรจะเป็นพาหะของการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมที่มีผลกระทบอย่างมากต่อความเสี่ยงโรคมะเร็งและความเสี่ยงเหล่านี้ก่อให้เกิดน้อยกว่า 3-10% ของโรคมะเร็งทั้งหมด[51] บางส่วนของอาการเหล่านี้รวมถึง:. การกลายพันธุ์บางอย่างที่ได้รับการถ่ายทอดในยีน BRCA 1 และ BRCA2 ที่มีความเสี่ยงมากกว่า 75% ของมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่[51]และมะเร็งลำไส้ใหญ่ชนิด hereditary nonpolyposis (HNPCC หรือ Lynch syndrome) ซึ่งมีอยู่ในประมาณ 3% ของผู้ที่มีโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่[52]

สารที่มีการสัมผัสทางกายภาพแก้ไข

สารบางชนิดทำให้เกิดโรคมะเร็ง ส่วนใหญ่เนื่องจากการสัมผัสทางกายภาพมากกว่าทางเคมี[53] ตัวอย่างที่โดดเด่นได้แก่การสัมผัสกับแร่ใยหินเป็นเวลานาน, แร่ใยหินเป็นเส้นใยแร่ธาตุที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มันเป็นสาเหตุสำคัญของโรค mesothelioma (โรคมะเร็งชนิดหนึ่งของเยื่อเซรุ่ม ซึ่งมักจะเป็นเยื่อเซรุ่มรอบปอด)[53] สารอื่น ๆ ในหมวดหมู่นี้รวมทั้งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและที่เกิดขึ้นผ่านการสังเคราะห์เช่นเส้นใยคล้ายแร่ใยหินได้แก่ wollastonite, attapulgite, glass wool และ rock wool สารเหล่านี้เชื่อว่าจะมีผลกระทบที่คล้ายกัน[53] วัสดุที่ไม่ใช่ไฟเบอร์ที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้แก่ผงโลหะโคบอลต์และนิกเกิล และผลึกซิลิกา (ควอทซ์, cristobalite และ tridymite)[53]โดยปกติสารก่อมะเร็งทางกายภาพจะต้องเข้าไปในร่างกาย (เช่นผ่านการสูดดมชิ้นเล็ก ๆ ) และต้องใช้เวลาหลายปีของการสัมผัสจนพัฒนาขึ้นเป็นโรคมะเร็ง[53] ที่มา:Wikipedia 
การบาดเจ็บทางร่างกายจนส่งผลให้เป็นโรคมะเร็งค่อนข้างหายาก[54] ยกตัวอย่างเช่น การอ้างว่าการที่กระดูกแตกส่งผลให้เกิดโรคมะเร็งกระดูกไม่เคยได้รับการพิสูจน์ว่าจริง[54] ในทำนองเดียวกัน การบาดเจ็บทางร่างกายก็ไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งสมอง[54] กรณีเดียวที่ยอมรับได้คือการที่ร่างกายได้รับความร้อนบ่อยและเป็นเวลานอน เป็นไปได้ว่าการเผาไหม้ซ้ำ ๆ ในส่วนเดียวกันของร่างกายเช่นความร้อนที่สร้างโดย Kanger (หม้อใส่ถ่านร้อนของชาวแคชเมียร์เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย) และเครื่องทำความร้อนแบบ Kairo (เครื่องอุ่นมือด้วยถ่าน) อาจสร้างมะเร็งบนผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีการใช้สารเคมีที่เป็นสารก่อมะเร็งในการให้ความร้อน[54] ที่พบบ่อยคือการดื่มน้ำชาร้อนจนลวกอาจสร้างมะเร็งหลอดอาหาร[54]โดยทั่วไป เชื่อกันว่ามะเร็งจะเกิดขึ้น, หรือมะเร็งที่มีอยู่ก่อนแล้วได้รับการสนับสนุน, ในระหว่างขั้นตอนการซ่อมแซมอาการบาดเจ็บ มากกว่ามะเร็งจะเกิดจากการบาดเจ็บโดยตรง[54] อย่างไรก็ตาม การได้รับบาดเจ็บซ้ำ ๆ ที่เนื้อเยื่อเดียวกันอาจส่งเสริมการเพิ่มจำนวนเซลล์มากเกินไปซึ่งก็จะไปเพิ่มอัตราการกลายพันธุ์ของมะเร็ง
เป็นที่ถกเถียงกันว่าการอักเสบเรื้อรังอาจทำให้เกิดการกลายพันธุ์โดยตรงได้หรือไม่[54][55] อย่างไรก็ตาม เป็นที่ยอมรับว่าการอักเสบสามารถนำไปสู่​​การขยายจำนวน, การอยู่รอด, การก่อตัวของเส้นเลือดใหม่และการย้ายถิ่นของเซลล์มะเร็งโดยการสร้างอิทธิพลต่อจุลสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ เนื้องอก[56][57] มากไปกว่านั้น ยีนมะเร็ง (อังกฤษoncogenes) เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นตัวสะสมจุลสิ่งแวดล้อมแบบส่งเสริมให้เกิดยีนเนื้องอกที่อักเสบ (อังกฤษinflammatory pro-tumorigenic microenvironment)[58]

ฮอร์โมนแก้ไข

ฮอร์โมนบางชนิดมีบทบาทสำคัญในการพัฒนามะเร็งโดยการส่งเสริมการเพิ่มจำนวนเซลล์[59] ปัจจัยการเจริญเติบโตอย่างเช่นอินซูลินและโปรตีนที่ผูกพันของพวกมันมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มจำนวนเซลล์, การแยกความแตกต่างและการตาย, บอกถึงความเป็นไปได้ในการมีส่วนร่วมในการเกิดมะเร็ง[60]
ฮอร์โมนเป็นตัวการสำคัญในการเกิดโรคมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับเพศ เช่นโรคมะเร็งของเต้านม, เยื่อบุมดลูก, ต่อมลูกหมาก, รังไข่, และอัณฑะ รวมทั้งโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์และมะเร็งกระดูก[59] ตัวอย่างเช่นหญิงที่มีมารดามีมะเร็งเต้านมจะมีระดับของเอสโตรเจนและ progesterone ที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมากกว่าหญิงที่มีมารดาที่ไม่มีมะเร็งเต้านม การเพิ่มขึ้นของระดับฮอร์โมนอาจจะอธิบายได้ว่าทำไมผู้หญิงเหล่านี้จึงมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมได้แม้ว่าจะไม่มียีนมะเร็งเต้านม[59] ในทำนองเดียวกันชายเชื้อสายแอฟริกันมีระดับเทสโทสเทอโรนที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมากกว่าชายเชื้อสายยุโรปจึงมีระดับที่สอดคล้องกันของมะเร็งต่อมลูกหมากที่สูงมาก[59]ชายเชื้อสายเอเชียที่มีระดับต่ำสุดของ androstanediol glucuronide ที่เกิดจากเทสโทสเทอโรน ก็มีระดับต่ำสุดของมะเร็งต่อมลูกหมาก[59]
นอกจากนี้ปัจจัยอื่น ๆ ก็เกี่ยวข้องด้วย เช่นคนที่เป็นโรคอ้วนมีระดับที่สูงขึ้นของฮอร์โมนบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งและอัตราที่สูงขึ้นของโรคมะเร็งเหล่านั้น[59] ผู้หญิงที่บำบัดด้วยฮอร์โมนทดแทนมีความเสี่ยงสูงของโรคมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเหล่านั้น[59] ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ออกกำลังกายมากกว่าค่าเฉลี่ยมีระดับที่ลดลงของฮอร์โมนเหล่านี้และลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง[59] มะเร็งกระดูก (อังกฤษOsteosarcoma) อาจได้รับการส่งเสริมจากฮอร์โมนการเจริญเติบโต[59] การรักษาและการป้องกันบางอย่างจะช่วยถ่วงดุลสาเหตของโรคเหล่านี้โดยการลดแบบเทียมของระดับฮอร์โมน ซึ่งจะไม่ส่งเสริมมะเร็งที่ไวต่อฮอร์โมนนั้น[59]