ในปัจจุบันนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ มักค้นพบว่าอาหารไม่ว่าจะเป็น ผัก ผลไม้ หรือแม้แต่น้ำนมจากสัตว์ นอกจากจะมีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว บางประเภทยังช่วยรักษาโรคภัยได้โดยตรง ผู้ป่วยที่มีแผลในกระเพาะอาหาร อาจกำลังทรมานกับอาการปวดเสียดในช่องท้อง ไม่ว่าจะเกิดจากกินอาหารไม่ตรงเวลา ความเครียดลงกระเพาะ หรือโรคติดเชื้อก็ตาม คงไม่มีใครคาดว่า องุ่น จะช่วยรักษาโรคกระเพาะได้
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยจาเกลโลเนียน ประเทศโปแลนด์ นำโดย ดร.โธมัส บรอโซสกี้ เปิดเผยผลการวิจัยที่การประชุมสัปดาห์โรคระบบทางเดินอาหาร ที่นครชิคาโก สหรัฐ ระบุว่า สารสกัดจากเมล็ดองุ่น( GSE) ซึ่งเป็นกรดตามธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย และต่อต้านอนุมูลอิสระอยู่ปริมาณมาก สามารถช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร และเยียวยาแผลในกระเพาะอาหารได้ โดยทดลองในหนูทดลองพบว่า หนูที่ได้รับการรักษาด้วย GSE ปริมาณ 10 มิลลิกรัม/กิโลกรัม พบว่าลดกรดในกระเพาะอาหารลงได้ร้อยละ 50
นอกจากนี้ การวิจัยยังพบด้วยว่า สารประกอบในองุ่น สามารถทำงานร่วมกับเอนไซม์ในกระเพาะอาหาร และยาอย่างเช่น ยากลุ่มสเตตินที่ลดคอเลสเตอรอล และยาต้านแคลเซียม ที่ให้กับผู้ป่วยโรคหัวใจได้ แต่ประสิทธิภาพจะลดลงหากใช้ร่วมกับยาที่ขัดขวางการทำงานของเอนไซม์ COX-1 และ COX-2 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเคลือบกระเพาะอาหาร
Thai Health Thai Food & Thai Spa สุขภาพที่ดีของคนไทย แนะนำข้อมูลโภชนาการ อาหาร สมุนไพรไทย และอื่นๆ
Saturday, May 02, 2009
คีโม เคมีบำบัด ฆ่า มะเร็ง
เมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อนร่วมงานของผู้เขียนคนหนึ่งมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำ “คีโม” หรือ การให้ “ยาเคมีบำบัด” เนื่องจากคุณพ่อของเธอเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แต่ท่านอายุ 70 กว่าปีแล้ว ก็เลยตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำดีหรือไม่ เพราะญาติพี่น้องก็มีทั้งที่อยากให้ทำและไม่อยาก ให้ทำ ดังนั้นเพื่อให้ผู้อ่านได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ “X-RAY สุขภาพ” จึงมาพูดคุยกับ นพ.ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข นพ.ธีรวุฒิ อธิบายว่า “คีโม” ที่ทุกคนเรียกกันจนติดปาก ย่อมาจากภาษาอังกฤษคำว่า คีโมเทอราปี (Chemotherapy) ก็คือ ยาเคมีบำบัด เป็นการใช้ยาหรือสารเคมีเพื่อระงับการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งที่แบ่งตัวผิดปกติ แต่ร่างกายปกติของคนเราจะมีเซลล์ที่แบ่งตัวเร็วเช่นกัน โดยเฉพาะเซลล์ที่ผม เซลล์ไขกระดูกที่สร้างเม็ดเลือด เซลล์ของผิวหนังหรือเซลล์ที่ปาก และเซลล์ที่อยู่ในระบบทางเดินอาหาร คือ กระเพาะอาหาร ลำไส้ เมื่อให้ยาเคมีบำบัดเซลล์ปกติเหล่านี้จะถูกทำลายไม่ให้มีการแบ่งตัวไปด้วย ดังนั้นเวลาให้ยาเคมีบำบัดแก่ผู้ป่วยมะเร็งจะเกิดอาการข้างเคียง เช่น ผมร่วง ผิวหนังมีสีผิดปกติ ผิวแห้ง ถ้าเกิดที่ปากก็ทำให้ปากเป็นแผล เกิดที่ระบบทางเดินอาหารก็ทำให้ปวดท้อง ถ่ายเหลว ท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน เกิดที่ไขกระดูกที่สร้างเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวก็จะทำให้ปริมาณ เม็ดเลือดลดลง ยาเคมีบำบัดมีหลายชนิดด้วยกัน มีทั้งชนิดฉีดเข้าเส้นเลือดดำหรือแดง และชนิดเม็ดรับประทาน แต่ละชนิดจะทำลายเซลล์มะเร็งต่างกัน และทำลายเซลล์ธรรมดาต่างกัน ดังนั้นมิใช่ทุกรายที่ให้ยาเคมีแล้วจะมีผลข้างเคียงผมร่วงทุกคน ปัจจุบันมียาเคมีกลุ่มใหม่ราคาแพงที่เจาะจงทำลายเฉพาะเซลล์มะเร็ง เมื่อให้ยาเคมีเหล่านี้ก็จะไปอยู่เฉพาะเซลล์มะเร็งไม่กระทบต่อเซลล์ปกติที่มีการแบ่งตัวเร็วหรือกระทบน้อยมาก ดังนั้นพอเรารู้ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังจากใช้ยาเคมีบำบัด ก็จะมียามาแก้ เช่น ฉีดยาแก้คลื่นไส้อาเจียน ส่วนผมร่วงเมื่อหยุดให้ยาผมใหม่จะขึ้นมาแทนที่ แต่สิ่งที่เรากลัว คือ เซลล์ไขกระดูกถูกกด ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ถ้าไปกดการสร้างเม็ดเลือดแดง โลหิตจาง สามารถให้ เลือดได้ หรือฉีดยากระตุ้นไขกระดูกเพื่อสร้างเม็ดเลือดแดงแต่ราคาแพง แต่ถ้าไปกดเม็ดเลือดขาวอาจทำให้ฮอร์โมนเจริญเติบโต (Grown Hormone) เพราะถ้าไม่ให้เม็ดเลือดขาวลดมาก ๆ ก็อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ เสียชีวิต ซึ่งหมอจะมีวิธีการประคับประคองช่วยเหลือผู้ป่วยจากการให้ยาเคมีบำบัด หลายคนสงสัยว่าแล้วจะให้ยาเคมีบำบัดเมื่อใด เพราะบางคนคิดว่ายาเคมีบำบัดใช้เฉพาะมะเร็งระยะสุดท้าย มันก็ถูกต้องส่วนหนึ่งเท่านั้น ความจริง คือ ยาเคมีบำบัดสามารถใช้ได้ตั้งแต่ระยะแรกจนถึงระยะสุดท้ายเลย อยู่ที่ว่าเป็นมะเร็งชนิดใด และใช้เพื่ออะไร เพราะต้องเข้าใจว่า การรักษามะเร็งมีวิธีการรักษาหลักอยู่ 3 วิธี คือ การผ่าตัด ฉายแสง และยาเคมี 2 วิธีแรกเป็นการรักษามะเร็งเฉพาะที่นั้น ๆ แต่ถ้ามะเร็งออกไปจากที่ของมัน เช่น ไปต่อมน้ำเหลืองใกล้ ๆ หรือไปกระแสเลือดไปอีกที่หนึ่ง การผ่าตัดไล่ตามเก็บ หรือฉายแสงเฉพาะที่คงจะไม่ทัน มะเร็งคงไม่กระโดดจาก อวัยวะหนึ่งไปอวัยวะหนึ่ง มันต้องเวียนไปตามร่างกาย ถ้าหวังผลหายขาดก็ต้องใช้ยาเคมีบำบัดทั่วร่างกาย ซึ่งมีทั้งใช้เพื่อหวังผลหายขาดหรือเพื่อประคับประคองให้ยืดชีวิตไป คือ แทนที่จะเสียชีวิตใน 6 เดือนอาจจะเสียชีวิตใน 1-2 ปี การใช้ยาเคมีบำบัดเพื่อหวังผลให้หายขาดมีทั้งที่ใช้เคมีบำบัดอย่างเดียว ซึ่งมะเร็งหลายชนิดใช้ได้ เช่น มะเร็งเม็ดเลือด มะเร็งของต่อมน้ำเหลือง หรือใช้ยาเคมีบำบัดเพื่อไปเสริมการรักษาอย่างอื่นเพื่อหวังผลให้หายขาด เช่น ผ่าตัดไปแล้ว ยกตัวอย่างมะเร็งลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก ที่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองแล้ว ผ่าตัดก็มีสิทธิหาย แต่จะหายสัก 70% แต่จะเป็นซ้ำอีก 30% ทำอย่างไรจะไม่ให้เป็นซ้ำก็ให้ยาเคมีบำบัดหลังผ่าตัด ถามว่าจะให้ยาเคมีบำบัดดีหรือไม่ดี ทุกที่ในโลกเหมือนกันหมด ในสหรัฐเองผู้ป่วยก็ไม่เข้าใจและกลัวเหมือนกับคนไทย ดังนั้นก่อนให้ผู้ป่วย ต้องสอบถามรายละเอียดกับหมอว่ายาที่จะให้นานเท่าใด ให้อย่างไร จะมีผลข้างเคียงอย่างไร เพื่ออะไร รักษาให้หายขาดหรือยืดชีวิต และต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง อายุมีส่วนสำคัญในการให้ยาเคมีบำบัดหรือไม่ ? นพ.ธีรวุฒิ ตอบว่า อายุก็มีส่วนบ้าง คนอายุมากถ้าเกิดผลข้างเคียงก็ดึงขึ้นลำบาก พออายุมากร่างกายก็ย่อมเสื่อมโทรมไป เช่น ไตไม่ดี ก็มีข้อจำกัดในการให้ยาแรง ๆ แต่ปัจจุบันมะเร็งบางชนิดคนสูงอายุก็ให้ยาเคมีบำบัดได้ เช่น มะเร็งเต้านม อายุ 60-70 ปี ก็ให้ได้ มันอยู่ที่ว่ายารุนแรงหรือไม่ แล้วคนอายุ 70 กว่าปีเป็นมะเร็งที่ปอดและลามไปที่ตับระยะสุดท้ายควรให้ยาเคมีบำบัดหรือไม่ ? นพ.ธีรวุฒิ กล่าวว่า กรณีนี้ให้เพื่อยืดชีวิตเท่านั้น คือ ถ้าไม่ให้อาจจะอยู่ไม่เกิน 1 ปี แต่ถ้าให้อาจจะยืดไปนิดหน่อย ถามว่าทรมานหรือไม่ การให้ยาก็ทรมานบ้าง แต่การทำสงครามกับมะเร็งก็ต้องมีบ้าง แต่อยู่ที่เราจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งก็มีข้อพิสูจน์แล้วว่าการให้ยาเคมีบำบัดสามารถยืดชีวิตได้ แต่ต้องเข้าใจว่าไม่ใช่หายขาดนะเป็นการยืดชีวิตเท่านั้น ไม่กินอยู่ได้ 6 เดือน กินอยู่ได้ตั้ง 9 เดือน แต่เสียเงินไป 1 ล้านคุ้มหรือไม่มันพูดยาก ดังนั้นการตัดสินใจขึ้นอยู่กับตัวคนไข้ และการวินิจฉัยของหมอด้วย การให้ยาเคมีบำบัดโอกาสหายจากมะเร็งมีมากน้อยแค่ไหน ? นพ.ธีรวุฒิ กล่าวว่า อยู่ที่ระยะ และชนิดมะเร็งที่เป็น ถ้าเป็นมะเร็งตับ มะเร็งปอด เปอร์เซ็นต์ที่จะหายมีน้อยมาก.
แหล่งข่าว : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
โพสต์เมื่อ : 2007-11-11
อ้างอิง : http://www.healthcorners.com/
แหล่งข่าว : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
โพสต์เมื่อ : 2007-11-11
อ้างอิง : http://www.healthcorners.com/
Subscribe to:
Posts (Atom)